“ถ้าแค่ขายของแต่ไม่เข้าใจ ไม่เคารพ ไม่คืนกำไรให้คอมมูนิตี้ มันก็แค่หากำไรจากเราเฉยๆ เราไม่ใช่แค่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ หรือทำให้มีสายรุ้งบนแพ็กเกจ และมันไม่ใช่แค่เรื่องเลิฟอีสเลิฟ แต่มันคือสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องได้รับการเคารพ”
ผู้เขียนรู้จักกับ ‘เจ๋’ หรือ @roger.major.tom ครั้งแรกหลังจากบังเอิญเห็นโปสเตอร์ของเธอที่ป่าวประกาศเรื่อง ‘เพศ’ (Gender) อย่างเปิดเผยในมิวสิควิดีโอ Adult Swim ของ ไค (KAI) สมาชิกวง EXO เมื่อเดือนเมษายน 2025 ด้วยสไตล์ที่โดดเด่น ชุดคำที่เห็นแล้วนึกถึงใครไม่ได้นอกจากเธอคนนี้ เลยไม่ลังเลที่ชวนเธอมาแบ่งปันประสบการณ์อีกครั้ง เจ๋ในวัย 25 ปีมาในบทบาทใหม่ เป็นเจ๋ที่เติบโตขึ้นตามช่วงวัย และกำลังมีคอลเลกชันสติกเกอร์ร่วมกับ แอมเนสตี้ ช็อป ไทยแลนด์ ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย โดยผลงานชุดล่าสุดของเจ๋ยังคงสะท้อนความเชื่อ ความกล้าตั้งคำถาม และพลังบางอย่างที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับตัวเธอเอง ซึ่งเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง และเลือกใช้ศิลปะเป็นภาษาของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
ผลงานของเจ๋เป็นงานศิลปะที่สื่อถึงประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ โดยต้องการให้งานศิลปะของเธอกระตุ้นให้เกิดการถกเถียง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หนึ่งในประเด็นหลักที่เจ๋สนใจ คือความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ หรือ Gender Base Violence ที่มีต่อกลุ่มเควียร์ เพราะเธอมองว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มเควียร์ในปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่เห็นได้ตามหน้าข่าวบ่อยขึ้นทุกวัน และยังไม่ถูกพูดถึงเท่าไหร่นักว่ากลุ่มเควียร์ก็พบเจอกการถูกเลือกปฏิบัติและความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ โดยเฉพาะในขวบปีที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ถึงจะเป็นหมุดหมายแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่เจ๋เองก็มีข้อกังวลไม่น้อย เพราะนี่เป็นแค่การเริ่มต้นของการยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศเท่านั้น หากไม่สานต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ทุกอย่างสูญเปล่า
ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ๋คือศิลปะการออกแบบด้วยตัวอักษร (Typography) ที่เห็นแล้วต้องสะดุดตา ทั้งเปิดเผย ล่อแหลม และชวนขบคิดไปพร้อมกัน จากสารเล็กๆ ที่ส่งผ่านสติกเกอร์ขนาดเพียงไม่กี่มิลลิเมตร ที่ใครจะคิดว่าวันหนึ่ง สิ่งที่เธอทำกำลังเปลี่ยนแปลงสังคมหรือสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่างได้จริง
ในวาระเดือนมิถุนายนหรือ Pride Month นี้ พิเศษตรงที่ว่า เจ๋เพิ่งออกแบบสติกเกอร์ พร้อมกับคิดคำก๊อปปี้สุดเท่เสร็จไปหมาดๆ และเธอจะขอใช้สติกเกอร์พาทุกคนไปเข้าใจความหลากหลายทางเพศ ผ่านงานศิลปะที่จะตั้งคำถาม และชวนสนทนาเรื่องความหลากหลายทางเพศ
จากการทดลองเล่นกับกราฟิกดีไซน์ สู่ศิลปะการเมือง
ความสนใจในศิลปะของเจ๋ Roger Major Tom ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากการได้เห็นโลกใบเล็กของตัวเองที่เต็มไปด้วยภาพ เส้น สี และการจัดวางที่ไม่ธรรมดา เธอเริ่มทดลองใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม แม้ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องเป็นนักออกแบบ แต่อะไรบางอย่างในการไล่เรียงตัวอักษร การเลือกเฉดสี และการสื่อสารผ่านภาพนิ่งในโปรแกรมนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่านี่อาจเป็น “ภาษาของตัวเอง” ที่ใช้พูดแทนความคิดที่ยังไม่รู้จะสื่อสารออกมาอย่างไรได้
จากการฝึกฝนและการทำงานทดลองเล่นเล็กๆ น้อยๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ กลายเป็นแรงผลักดันให้เจ๋หันมาให้เวลากับสิ่งนี้อย่างจริงจัง เมื่อได้เรียนรู้มากขึ้นก็ยิ่งค้นพบว่างานออกแบบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงศิลปะหรือเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการตลาดเท่านั้น แต่ศิลปะคือเครื่องมือที่ทรงพลังในการสื่อสารเจตนารมณ์ ช่วยตั้งคำถามกับความไม่เป็นธรรม และกลั่นกรองความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นภาพที่จับต้องได้ จุดนั้นเองที่กลายเป็นแรงผลักสำคัญให้ตัดสินใจเดินหน้าฝึกฝนเพื่อทำให้ผลงานของเธอมีความคมชัดและกลมกล่อมขึ้น สำหรับเจ๋ ศิลปะไม่ใช่เพียงเรื่องของความงามหรือความพึงพอใจ แต่ศิลปะคือพื้นที่ของการตั้งคำถาม การเล่าเรื่อง และการเปิดประตูสู่บทสนทนาระหว่างผู้คนที่อาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เจ๋เริ่มสนใจศิลปะที่ใช้ในการประท้วงตอนติวประวัติศาสตร์ศิลปะ ในอดีตจะมีการเคลื่อนไหวหนึ่งที่เรียกว่า Dadaism ซึ่งมันเป็น movement ของศิลปินช่วงยุคสงครามโลก ตอนนั้นน่ะตัวเราเองก็ไม่ได้เข้าใจหรอกว่า มันคืออะไรกันแน่ เพราะชื่อแปลก เราไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยว่ามันคืออะไร”
“แต่มีภาพจําที่ว่างาน Dadaism คือการต่อต้านศิลปะกระแสหลัก งานที่สร้างชื่อให้กับการเคลื่อนไหวนี้คือ งานประติมากรรมโถส้วม ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเลยว่าทำไปทำไม จนช่วงใกล้ๆ กันนะ มีการประท้วงที่ฮ่องกงเกิดขึ้นตอนช่วงปี 2562”
“มีคนรวบรวมศิลปะการประท้วงที่ฮ่องกง แล้วเราก็รู้สึกว่าในประเทศที่ถูกจํากัดการแสดงออกมากๆ ขนาดนั้น ทําให้เรารู้ว่าศิลปะเป็นสื่อที่คนแบบเราไม่จําเป็นต้องรู้เลยว่า ใครเป็นอะไร แต่สามารถออกมาแสดงออกบางอย่าง และเกิดขึ้นเป็นงานศิลปะขึ้นได้ท่ามกลางความอ่อนไหวแบบนั้น”
จากความสนใจเหตุการณ์ประท้วงที่ฮ่องกงครั้งนั้น เจ๋ค้นข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่าในประเทศไทยก็มีความพยายามที่จะปิดกั้นงานศิลปะการเมือง จึงมองเห็นว่าศิลปะมีอิทธิพลต่อสังคมมากเพียงใด และทำให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัวได้อย่างไร Roger Major Tom เติบโตขึ้นในช่วงเวลาเหล่านั้นพอดี แม้ตอนแรกตั้งใจออกแบบสติกเกอร์โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้นหลังเลือกตั้งปลายปี 2562 เจ๋ต้องการใช้พื้นที่นี้เป็นสื่อกลางในการแสดงออกถึงจุดยืนของตัวเอง จึงลองทำสติกเกอร์ต่างๆ ขึ้นมาในช่วงที่ยังไม่ค่อยมีใครเอาเรื่องการเมืองมาอยู่บนสินค้าเบ็ดเตล็ด โดยไม่คาดคิด ผลงานของเธอจะถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นที่รู้จักและซื้อสติกเกอร์ของเธอไปใช้จริง ในฐานะเครื่องมือสื่อสารตัวตน ความอัดอั้น และจุดยืน
“ถึงแม้จะเป็นสติกเกอร์ แต่สติกเกอร์พวกนี้จะไปอยู่ตามสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจําวัน เราเห็นคนซื้อไปติดบนเคสมือถือ ไปติดบนฝาโน้ตบุ๊ค สติกเกอร์เลยเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากที่ทําให้ความคิดของคนคนนึงไปแสดงออกในชีวิตประจําวันได้โดยที่เขาไม่ต้องตะโกนอะไรออกไป แค่เดินไปเดินมาแล้วมีคนเห็นมือถือ ก็ดูได้ว่าคนนี้คิดยังไง”
“สติกเกอร์มีหลายขนาด ติดได้ทุกที่เลย แล้วถ้าเกิดว่าเขาอยากแกะออกหรือทำลาย ก็จะมีความยากในการแกะประมาณหนึ่ง และเมื่อแกะออกแล้ว สติกเกอร์ก็จะมีร่องรอยให้เห็นอยู่ ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนคิดแบบนี้นะ แต่กลับถูกพยายามทำให้หายไป”
ประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามวันและวัยทำให้เจ๋ในฐานะ Roger Major Tom เลือกที่จะใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือแห่งการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ แม้ว่าอคติทางเพศค่อยๆ จะเจือจางลงตามกาลเวลา แต่เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความไม่เข้าใจบางอย่าง จนทำให้ชีวิตของพวกเขา (และเธอ) ต้องเผชิญหน้ากับการถูกเลือกปฏิบัติ เพราะอยากให้ทุกคนเข้าใจและยอมรับ เท่านี้ก็ทำให้เพื่อนทุกคนไม่ต้องเผชิญกับการถูกลิดรอนสิทธิอีกต่อไป ความตั้งใจนี้กลายเป็นที่มาของคอลเลกชันสติกเกอร์ที่มุ่งสื่อสารประเด็นความหลากหลายทางเพศมากขึ้น
หลายปีที่แล้ว Roger Major Tom เคยให้สัมภาษณ์สั้นๆ กับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เกี่ยวกับสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และเป็นเจ้าของผลงานสติกเกอร์รณรงค์โครงการ Write For Rights ปี 2567 เดือนไพรด์ปีนี้ กับแอมเนสตี้ ช็อป ไทยแลนด์ พยายามเฟ้นหาศิลปินที่ทำงานเรื่องเพศอย่างต่อเนื่อง ทั้งทีมงานและกลุ่มศิลปินในเครือข่ายต่างก็นึกถึง Roger Major Tom เป็นอันดับแรก จึงเชิญชวนเธอมาออกแบบคอลเลกชันที่ตั้งใจจะเปลี่ยนมุมมองต่อเควียร์และเข้าใจว่าทำไมเพศจึงไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ชาย-หญิง
Being "Me" Should be Safe
“เพราะตอนนั้นเขาอยากได้คนออกแบบสติกเกอร์ที่สื่อเรื่องสิทธิ ซึ่งแอมเนสตี้ก็ขอคำแนะนำจาก Patata Studio เขาทำงานร่วมกันอยู่ก่อนแล้ว และเราก็ได้รับการแนะนำมาจาก Patata Studio อีกทีนึง เหมือนว่าจริงๆ ทุกคนก็รู้จักกันโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าทุกคนรู้จักกัน”
เพียงแค่ 2 สัปดาห์ ศิลปินคนนี้ก็สามารถร่างทุกถ้อยคำนำไปบรรจุอยู่ในสติกเกอร์ขนาดจิ๋วได้สำเร็จ เจ๋ออกแบบทั้งก๊อปปี้ (ข้อความที่อยู่บนสติกเกอร์) ลวดลาย ขนาด และรูปร่างว่าควรจะมีลักษณะอย่างไร หากผลงานเหล่านี้ถูกนำไปติดอยู่ตามพื้นผิวต่างๆ
จากสติกเกอร์ทั้งหมด 8 ชิ้น 8 ขนาด 8 ลวดลาย เจ๋เล่าว่าเธอชอบ แมว เห็ด และข้อความ Treat me without threat มากที่สุด เพราะเพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกสบายใจ ไม่เป็นการประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้งมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศ แถมยังน่ารักเสียจนเธอคิดว่า บางทีนี่อาจจะเป็นลายที่ทุกคนชอบมากที่สุดก็ได้
“เจ๋ตั้งใจออกแบบน้องแมวให้เหมือนกับว่าเขานอนอยู่บนตะกร้า เป็นลักษณะที่สบายๆ สื่อถึงความรู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกที่ว่าตรงนี้เป็นพื้นที่เซฟโซนของเขา”
“อันที่จริงเจ๋ไม่ได้คิดว่าอยากทําให้ดีไซน์มันเป็นแบบสไตล์ของเจ๋จริงๆ มากเท่าไหร่ แต่คิดว่าอยากให้เป็นคอลเลกชันสติกเกอร์ที่สอดคล้องกับของ Patata Studio มากกว่า จะออกแนวน่ารัก handmade แล้วก็ดูสบายๆ ต้องการให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งก็คือรูปแมว ทางแอมเนสตี้บอกมาด้วยว่า ไม่จําเป็นที่จะต้องเป็นคอลเลกชันมีสายรุ้งหรือว่าระเบิดธงเข้าไปเยอะๆ เจ๋ก็เลยคิดว่ามันเป็นข้อตกลงที่ตรงกับสิ่งที่อยากทําอยู่แล้ว เราไม่ได้อยากออกแบบงานให้มันดู rainbow washing (การใช้ธงสีรุ้งเพื่อการตลาด)”
“แล้วก็ข้อความ Treat me without threat ก็สอดคล้องกับเรื่องความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ หรือ Gender-based violence ซึ่งถ้าเราใส่อะไรที่มากเกินไป อาจจะทําให้สารมันเปลี่ยนไปหน่อยนึง เลยพยายามทําให้เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกสบายๆ รู้สึกปลอดภัยจริงๆ ในมุมของเรา”
นอกจากสติกเกอร์ 3 ลายที่เธอหยิบยกขึ้นมาแล้วว่าเป็นที่สุดในใจหลังจากการออกแบบ แต่ยังมีอีกหลายรูปแบบ หลายขนาดให้เลือกสรร แถมทุกข้อความที่ปรากฏอยู่บนสติกเกอร์ยังมีความหมายเฉพาะตัว ทำให้คนที่ครอบครองสามารถยืนหยัดเพื่อเสียงของตัวเองในทุกๆ วัน
“เจ๋อยากให้มีคนอ่านนะ (หัวเราะ) เพราะว่าสติกเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความอยู่แล้ว อยากให้รู้สึกเข้าใจว่าคนที่เขาติด เขากําลังพยายามบอกอะไร แค่อ่านและรู้สึกเข้าใจเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่สําคัญแล้วว่าคุณกําลังเข้าใจคนคนหนึ่ง ว่าเขากําลังอยากบอกอะไร มันเป็นสเต็ปที่สําคัญในการเข้าใจ issue ต่างๆ ขึ้นมา เช่นเรื่องสิทธิ ถ้าเราพยายามเข้าใจคนอื่นบ้าง มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญในการเปิดประตูบานต่อๆ ไป ให้เราได้รับรู้ปัญหาคนอื่นที่เขาเคยเจอมา รู้และเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร”
“สติกเกอร์ที่เราทำร่วมกับแอมเนสตี้ เราตั้งใจทำให้เหมาะกับทุกคน อยากให้คนที่นำไปติดรู้สึกสบายใจ ทำให้คนอ่าน อ่านแล้วเข้าใจขึ้นมาเลยว่าคนที่ติดสติกเกอร์อันนี้ต้องการบอกอะไรกับคนภายนอก เขาอาจจะต้องการพื้นที่ปลอดภัย ต้องการให้เห็นว่าเขาก็เป็นคนคนหนึ่งไม่ต่างกัน เพราะการมีอคติทางเพศมันนำมาซึ่งปัญหาทางสังคมมากมาย ทั้งในรูปแบบเล็ก ๆ ของคําพูด ไปจนถึงปัญหาใหญ่อย่างการทำร้ายร่างกาย ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เราเห็นกันเยอะมาก”
“คิดว่าสติกเกอร์นี้ ก็อาจจะเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ทําให้คนเข้าใจมากขึ้น ถ้ามีคนถามว่าสติกเกอร์นี้คืออะไร ก็อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสอธิบายว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งนี้นะ และทำให้เขาเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น”
ขอแค่เข้าใจ เพียงเท่านี้โลกของสิทธิก็เปิดกว้าง
คำถามสำคัญในวาระเดือน Pride Month คงหนีไม่พ้นว่า เราคิดเห็นอย่างไรกับการที่ประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นของตัวเองเสียที เจ๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า เธอรู้สึกดีใจมากที่สุดในโลกที่ในที่สุดประเทศไทยก็ก้าวผ่านกรอบทางเพศเสียที หลังมีการพูดถึงเรื่องนี้และต่อสู้กันมานาน
“ดีใจมาก ดีใจที่สุด ในที่สุดเราก็มีการเปลี่ยนแปลงสักที แต่เราก็คิดว่าก็ยังต้องไปกันต่อ ยังมีอีกหลายสเต็ปมากๆ ที่เราจะต้องขับเคลื่อนกันไป ก็คิดว่าสเต็ปแรกมันเป็นความหวังที่จุดประกายว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องพูดคุยกัน แล้วเราก็ต้องทํามันให้ได้ในที่สุด แม้จะต้องใช้เวลานานมากแค่ไหนก็ตาม”
“เรายอมรับว่าก็ไม่รู้ว่าคนจะเข้าใจมากขึ้นมั้ย ยังวัดกันไม่ได้ เรารู้สึกว่ายังมีคนหลายๆ คนที่เขาเข้าใจว่า การที่เราออกมาเรียกร้อง เราเรียกร้องแค่ให้คนได้แต่งงานกันเฉยๆ แต่ว่าความจริงแล้ว สิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ใช่เป็นเรื่องของ love is love อย่างเดียว ไม่ใช่เรื่องของความรักอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของบุคคล เป็นเรื่องของ individual ด้วย เป็นเรื่องของอัตลักษณ์ของคน ซึ่งอาจยังมีคนที่ไม่ค่อยเข้าใจในมุมนี้เท่าไหร่ คิดว่าแค่เรียกร้องเกี่ยวกับความรักก็จบแล้ว”
โดยเจ๋ได้ออกความเห็นเพิ่มเติมถึงเรื่องคำนำหน้าชื่อว่าควรปรับเปลี่ยนตามเพศวิถี (Sexual Orientation) หรือว่าคงไว้ตามเพศสภาพตามเดิมไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ในด้านการณรงค์เรื่องนี้ ก็มีมาสักพักแล้วนะ มันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มาพร้อมกับสมรสเท่าเทียมเลยด้วยซ้ำ ซึ่งในความคิดของเรา เราว่าควรเปลี่ยนได้”
“คนที่เขาเป็นทรานส์ เขาควรมีตัวเลือกว่าเขาอยากให้เรียกคำนำหน้าว่าอะไร เหมือนกับเรื่อง pronouns ที่เราติดกันว่าคนนี้เป็น she he กับเรื่องคํานําหน้ามันก็เป็นแบบนั้น”
“เราคิดว่า จริงๆ แล้วมันเรียบง่ายมากๆ เลย แต่ว่าก็ยังมีบางกลุ่มที่เขาพยายามเอาอคติมาใส่ ติดอยู่กับระบบ binary ที่เป็นระบบแบบเดิม เพราะรู้สึกสบายใจที่จะอยู่กับระบบแบบนี้มากกว่า”
“คำนำหน้าชื่อควรเปลี่ยนได้ และควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจกันได้แล้ว” เธอยืนยัน
ซึ่งเธอเองเข้าใจดีว่าคนที่เกิดมามีเพศตรงกับคำนำหน้าชื่อ อาจไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงมีการยกเอาประเด็น ‘คำนำหน้าชื่อ’ มาพูดกันมากขึ้นในเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็ผ่านแล้ว ทุกคนสามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่การเดินทางครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด เพราะหากสามารถดันเพดานให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โลกของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศก็จะกลายเป็นโลกใบเดียวกับคนที่เกิดมาเป็นชายและหญิง และนั่นคือความปรารถนาสูงสุดของเธอ
เธอบอกว่าถ้าไม่เข้าใจกัน ไม่ยอมรับกัน ขอแค่อย่าทำร้ายกันก็พอ โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก หากการยอมรับความหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าเข้าใจ เธอเองก็จะไม่รั้งหรือขอให้เข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้วยิ่งบอก ยิ่งเล่าให้กับคนที่ไม่เปิดใจ ก็ไม่ต่างจากตะโกนใส่กำแพงที่พยายามแค่ไหนก็ไร้ความหมาย มีแต่พวกเราที่ต้องเจ็บปวดจากความรู้สึกที่ถูกเพิกเฉย
“ถ้าเขาไม่ยอมรับ ขอแค่อย่าทำร้ายก็พอ ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ได้โปรดอย่าทำร้ายกัน”
“เราเคยพยายามแล้ว แต่สำหรับบางคนที่ไม่เปิดใจ กลายเป็นว่าเสียงของเรามันไร้ความหมาย มีแต่เราที่เจ็บปวด มันเจ็บปวดจริงๆ และเราว่าการเดินออกมาจากตรงนั้น มันเป็นวิธีการป้องกันตัวที่ดีที่สุดของเรา”
เจ๋ยังบอกอีกว่าอันที่จริง สิ่งสำคัญในการเข้าใจเควียร์ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องอาศัยศาสตร์ความรู้เชิงวิชาการขั้นสูง เป็นเรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์ทุกคนมีติดตัว นั่นคือ ความเคารพซึ่งกันและกัน
“สิ่งสําคัญที่สุด คือ ความเคารพต่อสิ่งที่คนอื่นเป็น เขาจะเป็นอะไร สิ่งที่เราทําได้คือเราเข้าใจและเคารพเขาแค่นี้เลย คุณไม่จําเป็นที่จะต้องรู้คําศัพท์ที่มันลึกๆ ยากๆ ไม่ต้องรู้ภาษาอังกฤษสักคำก็ได้ แต่แค่เคารพเขาแค่นั้นพอ”
ก่อนจะทิ้งท้ายถึงเดือนแห่งการเฉลิมฉลองไว้ว่า เธอไม่อยากให้เห็นแค่ภาพความสวยงามหรือธงสีรุ้งสะบัดไปทั่วไปเท่านั้น แต่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอีกระดับ เพื่อให้ภาพฝันว่าทุกคนจะมีพื้นที่ปลอดภัยเป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
“เราอยากให้ทุกคนไม่หลงลืมกันว่ายังมีเรื่องอีกเยอะมากให้ร่วมกันต่อสู้ ทั้งเรื่องคํานำหน้า ทั้งเรื่องการแต่งกายอะไรใดๆ ก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายังคงต้องพูดกันต่อไป ต้องช่วยกันสู้กันต่อไป ไม่ใช่สมรสเท่าเทียมผ่านแล้วเราจบ”
“เรายังมีความหวังที่อยากให้เป็นจริง ความหวังสูงสุดของเรา คืออยากให้สังคมไปถึงจุดที่ unlock เรื่องระบบเพศ มองคนให้เป็นคน มองเห็นตัวตนของคนด้วยความเคารพ ด้วยความเข้าใจกันจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องยึดติดกับระบบเพศเก่า ๆ”
สติกเกอร์ไม่ใช่แค่ของตกแต่ง แต่คือเสียงจากหัวใจของใครบางคน
สติกเกอร์คอลเลกชันล่าสุดที่ เจ๋ Roger Major Tom ออกแบบร่วมกับ แอมเนสตี้ ช็อป ไทยแลนด์ เต็มไปด้วย ความหมาย ตั้งแต่ข้อความที่เรียบง่าย ไปจนถึงลายเส้นที่ส่งผ่านความรู้สึกปลอดภัย และเปิดพื้นที่ให้ผู้พบเห็นได้เริ่มตั้งคำถาม นี่ไม่ใช่แค่สติกเกอร์ แต่คือเครื่องมือเล็กๆ ที่ช่วยเปิดบทสนทนาเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ, สิทธิมนุษยชน, และพื้นที่ปลอดภัย ที่คนจำนวนไม่น้อยยังไม่มี
“เจ๋อยากให้คนอ่านแล้วเข้าใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะการเข้าใจคือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง”
สามารถสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการหยิบสติกเกอร์สักชิ้นจาก Amnesty Shop Thailand ไม่ว่าจะติดไว้ที่โน้ตบุ๊ก มือถือ หรือมอบให้ใครสักคน นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจใหม่ในโลกที่ยังเต็มไปด้วยกรอบเก่าๆ ก็ได้
สั่งซื้อสติกเกอร์ Being Me Should Be Safe Sticker Pack ได้ที่นี่
ส่งฟรี ส่งท้ายเดือนไพรด์! เมื่อซื้อสินค้าคอลเลกชัน Love is a Human Rights ครบ 350 บาท
หมดเขต 30 มิ.ย. 68 นี้